3
วัน ท่ามกลางหมู่มิตร
“การเมือง” ไม่ใช่แค่เรื่องหย่อนบัตรเลือกตั้ง เป็นสำนึกที่คอยเตือนให้ข้าพเจ้าระลึกอยู่เนือง ๆ ว่า ผู้คนทั้งหลายที่ข้าพเจ้ารู้จักนั้น กำลังอยู่ในวังวนของกับดักคำนี้หรือไม่ เพราะหลายครั้งที่พวกเราก็ได้แต่บ่นถึงสิ่งที่ควรแก้ไขในบ้านเมือง โดยไม่ได้ตระหนักว่าเราก็ทำได้ช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง
“ประชาสังคม”
เป็นพลเมืองผู้ใส่ใจในเรื่องราวของสังคม
เรื่องราวตั้งแต่รอบตนไปถึงการลงมือปฏิบัติการในระดับประเทศ ต่างก็อยู่ในฐานะ “นักการเมือง” โดยไม่ต้องอาศัยพิธีกรรมการเลือกตั้ง ที่คึกคัก หลากหลาย จนความหมายคำนี้กลายเป็นคำว่า “ธุรกิจการเมือง” ที่เป็นแค่การใช้ตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองมาสร้างผลประโยชน์ให้กับตน ให้กับพวกพ้องและบริวาร จนมีอีกชื่อเรียกว่า “นักเลือกตั้ง”ถ้ายังวนเวียนอยู่ในวงการ
ในระหว่างอาหารเช้าวันสุดท้ายของเวที พี่เพลิน ผู้หญิงเก่งแห่งแม่สอด ได้คุยถึงพี่ชายคนหนึ่งผู้เคยสมัครรับเลือกตั้งเป็น
สส. ที่เอ่ยปากว่า “รู้ว่าถ้าทำงานได้โดยไม่ต้องมีตำแหน่งแบบนี้ ก็คงไม่ไปสมัครลงเลือกตั้งให้เสียเวลา”
ก็ไม่ว่ากัน
เพราะพวกเราชาวประชาสังคมก็ไม่รู้ตัวได้บ่อย ๆ
เผลอไปทำบทบาทหน้าที่ของนักเลือกตั้งก็แทบจะนับไม่ถ้วน
พอผิดหวังก็กลับมาให้เวทีแบบนี้เติมไฟให้เป็นครั้งคราว
3วันนี้
อาจารย์นำศัพท์ทางศาสนามาให้คนนอกวัดนอกโบสถ์ได้สัมผัสถึงความหมาย เพื่อปรับใช้ต่อไปได้ ซึ่งเป็นสาระที่มีอยู่แล้วสิ่งที่ได้เคยไหว้เคยสาในวิถีของแต่ละคน
เช่นเดียวกับ ให้ตระหนักถึงการนำความรู้ที่บันทึกไว้แล้วโดยวิธีต่าง
ๆ มาประกอบกับความรู้ที่ไม่เคยถูกบันทึก ประสบการณ์จากการปฏิบัติ
เวทีนี้ช่วยให้เราได้ทบทวนศักยภาพของตัวเองได้อย่างสนุกสนาน ผ่านกระบวนการที่ออกแบบอย่างแยบยล
กระบวนการที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างกลมกลืนต่อสถานการณ์
ต่อระดับความสนใจของผู้ร่วมเวทีทั้งหมด
หรือ แม้แต่ประเด็นที่น่าสนใจที่คนเพียงคนเดียวหยิบยกขึ้นมา
กระบวนการจะช่วยจัดระเบียบให้การพูดจาแลกเปลี่ยนความรู้มีประสิทธิภาพ ในวงนั้นแค่ปากกาอันเดียวที่เพื่อนถืออยู่ก็สามารถเตือนให้เราหยุดคุย เงียบฟัง
ฟังอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่จะหยิบปากกาด้ามนั้นขึ้นมาเมื่อพร้อมจะถ่ายทอด ด้วยถ้อยคำที่กลั่นกรองออกมา ว่าเป็นคำที่มีความหมาย
ควรค่าของการฟังของเพื่อนร่วมวง
การจำกัดเวลา
ทำให้รอบของการพูดคุยกระชับ
ซึ่งก็มีการกินเวลาบ้าง ทุกครั้งอาจารย์ก็ให้ คนที่ตกรอบไม่ได้พูดในวง ได้มีโอกาสถ่ายทอดต่อวงใหญ่ ซึ่งหลายคนเกิดแรงบันดาลใจและพรั่งพรูความคิดเรื่องราวออกมาได้อย่างน่าฟัง แต่ข้าพเจ้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้สำหรับคนที่คอยฉวยโอกาสนี้อยู่ กลัวว่าผู้นั้นจะกลายเป็นนักพูดที่ไม่ได้คำนึงถึงวงเรียนรู้ ที่เน้นถึงเรื่องการควบคุมตัวเองเป็นเบื้องต้น
ในโต๊ะของเราช่วงสุดท้ายของเวทีที่เรียกว่ากระบวนการเช็คเอาท์นั้น มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาและข้าพเจ้าเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อแย้ง คือ
ผู้ทำกระบวนการมีพลังอย่างสูงในการถ่ายทอดวิชา
ในการทบทวนทฤษฎีต่าง ๆ
ให้พวกเราได้หยุดคิด
วาดภาพไว้ให้สะกิดใจ
ถอยหลังมาตั้งหลักใหม่
คอยปรับกระบวนท่า (ในการเคลื่อนไหวเชิงประชาสังคมของตนเอง) ให้สอดคล้องกับพลังของตัว ให้หยั่งถึงสถานการณ์ ท่านเตือนให้คิดโดยวาดภาพภูเขาน้ำแข็งที่ต้องเผชิญทั้งกระแสลมกระแสน้ำ ซึ่งบางครั้งลมแรงซัดน้ำเป็นคลื่นสูง
แต่ก็ไม่ใช่ตลอดไป
แบบฝึกหัดที่อาจารย์สาธิตกับหนุ่มอายุน้อยตัวโตชาวสุโขทัย สอนให้ใช้กำลังที่จู่โจมเข้ามาหานั้นแหละเป็นแรงเสริมให้การป้องกันตัวเองทำได้ดีขึ้น จนให้กลายเป็นเราคุมกำลังได้ด้วยซ้ำถ้าทำได้ดี
น่าจะเป็นการสาธิตที่คอยเตือนได้มาก ให้ข้าพเจ้าระลึกถึงสถานการณ์ของตัวเอง ว่าจะเบี่ยงกำลังและอาศัยให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร
รวมถึงการเตรียมนักดนตรีเยาวชนไทยให้นิ่งมีจุดร่วมของอาจารย์ผู้ควบคุมวง
รวมถึงคำว่า “ตีกลองแบบหยดน้ำผึ้ง” ที่อาจารย์ดนตรีชาวอินเดียสอนศิษย์ ในวีดีโอคลิปที่มาประกอบการอบรมครั้งนี้
ขอบคุณทุกคนทุกสถานการณ์ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสอยู่ท่ามกลางหมู่มิตรใน
3 วันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น